Apple

หลังจากที่เครื่อง iPhone 4 เค้ามาฮิตติดกระแสในบ้านเราได้พักใหญ่ก่อนหน้านี้ ก็ทำเอาผู้ใช้งานเครื่องโทรศัพท์มือถือปวดหัวไปตามๆกัน ที่ต้องมาออกซิมการ์ดใหม่ให้เป็นแบบ Micro SIM ซึ่งผู้ให้บริการเอง แรกๆก็ยังมีจำนวนซิมการ์ดแบบใหม่นี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการสักเท่าไหร่ ใครอดใจรอไม่ไหวอยากใส่ให้ได้เดี๋ยวนั้น ก็ต้องไปใช้บริการตัดซิมตามร้านกันไป ตัดมาเสียก็ซวยกันไปอีกเด้งนึง และดูเหมือน Apple จะยังไม่ได้พอใจกับขนาด Micro นี้สักเท่าไหร่แล้ว เพราะว่ามีแผนที่จะใช้ซิมการ์ดที่เล็กลงไปกว่านั้นอีก ในชื่อของ Nano SIM ตามรูปจากสิทธิบัตรด้านบนนี้ก็พอจะเป็นเครื่องยืนยันได้ตัวนึง แต่น่าเสียดายที่ในรูปนั้น ไม่ได้บอกระยะสัดส่วนของแผ่นซิมที่ว่านี้ไว้ ทำให้เราก็ยังไม่รู้ว่า Nano ที่ว่านี้ จะมีขนาดเล็กเท่าไหน แต่ก็เชื่อว่าความคิดนี้ก็คงจะมีผลประโยชน์อยู่บ้างไม่มากก็น้อย เพราะน่าจะเข้าไปช่วยในเรื่องของการออกแบบภายในตัวเครื่องให้มีที่ว่างขึ้นอีกนิด เอาไว้ไปทำประโยชน์อย่างอื่น ซึ่งก็น่าจะเอามาใช้ในตัวของ iPhone, iPad หรือ MacBook รุ่นใหม่ๆ แต่จะต้องมานั่งติดซิมกันอีกมั้ยเนี่ย อันนี้ต้องมาดูกันอีกที 

ดูเหมือนว่ามาตรฐานของความละเอียดสูงนั้นจะได้เปลี่ยนไปแล้ว นับตั้งแต่ Apple ได้เอาอุปกรณืที่มีจอแสดงผลระดับ qHD ออกมาให้เราได้เห็นกันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ iPhone 4, 4S และล่าสุดมาจนถึง The new iPad และข่าวสารล่าสุดจาก Ars Technica เหมือนวัฒนธรรมตัวใหม่ของ Apple นี้ จะได้ลุกลามขยับขยายมาสู่อุปกรณ์ตัวหลักของ Apple แล้ว ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงเครื่อง MacBook Air ของ Apple นั่นเอง ตามข่าวบอกว่า Apple เตรียมที่จะปล่อยเครื่อง MacBook Air ตัวใหม่ที่จะใช้จอ Retina Display นี้ ในฤดูร้อน 2012 นี้เลย โดยการคาดการณ์ดังกล่าวนี้ก็ที่มาจากเบาะแสว่ามีการค้นพบภาพกราฟิกที่ใช้ในระบบ OS X 10.8 Mountain Lion ตัวใหม่ ว่ามีขนาดความละเอียดที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม 2 เท่า อีกสิ่งหนึ่งที่คาดกันเอาไว้ก็คือการเปิดตัว MacBook Pro รุ่นบางใหม่ ประมาณช่วงมิถุนายน 2012 นี้ คาดว่าทั้ง 3 อย่าง MacBook Pro บางใหม่, หน้าจอ Retina Display ของ MacBook และ OS X 10.8 Mountain Lion คงเปิดตัวออกมาไล่เลี่ยกันอย่างแน่นอน หรือบางทีอาจจะมาเซอร์ไพรซ์เปิดพร้อมกันเลยก็ได้ ใครจะไปรู้ คงได้ฮือฮากันอีกแน่นอน

แม้ว่า Google จะเป็นเจ้าของ Android ก็จริง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นตัวทำเงินหลักๆให้กับ Google มากนัก เนื่องด้วยมีรายงานเปิดเผยออกมาว่า Google นั้นทำเงินจาก iOS ได้มากกว่าที่ได้เงินจาก Android ของตนกว่า 4 เท่าเลยทีเดียว โดยมีการเปิดเผยจาก The Guardian ถึงรายงานที่ได้ผ่านการรวบรวมข้อมูลจากหลายๆแหล่ง พบว่า Google ได้เงินจาก Android ทั้งสิ้น 550 ล้าน USD (นับตั้งแต่สมาร์ทโฟน Android เครื่องแรกอย่าง T-Mobile G1 วางจำหน่าย) ส่วนรายได้ที่ได้จาก iOS นับตั้งแต่เปิดตัว iPhone รุ่นแรกมาถึงปัจจุบันนั้นสูงถึงกว่า 2.5 ล้านล้าน USD เข้าไปแล้ว !! คิดง่ายๆก็มากกว่ากันประมาณ 4 เท่า โดยในรายได้ส่วนที่ได้จาก Android นั้น ก็เป็นที่แน่นอนว่าเป็นเงินที่ Google ทำสัญญากับผู้ผลิตให้จ่ายเงินให้กับ Google สำหรับสมาร์ทโฟน Android ทุกๆ เครื่องที่แต่ละแบรนด์ขายได้ โดยตกเครื่องละ $10 ด้วยกัน ส่วนฝั่ง iOS นั้น ไม่มีการบอกมาโดยตรงว่าแต่ละเครื่อง Apple ต้องจ่ายให้ Google เท่าไร แต่พอจะทราบยอดขายคร่าวๆของอุปกรณ์ iOS ทั้งหมดว่ารวมแล้วมีจำนวนกว่า 300 ล้านเครื่อง ดังนั้นก็พอจะคำนวณออกมาได้ว่า Apple ต้องจ่ายเงิน

ข่าวเกี่ยวกับเรื่องราวของ Steve Jobs ก็ยังคงออกมาอยู่เรื่อยๆ แม้เจ้าตัวจะล่วงลับไปแล้ว ล่าสุดเป็นเรื่องเกี่ยวกับระบบอัจฉริยะอย่าง Siri ที่ Dag Kittlaus หนึ่งในผู้สร้างระบบ Siri ได้ออกมาเปิดเผยในประเด็นนี้ โดยหลักๆก็คือตัวของ Steve Jobs ไม่ชอบชื่อ Siri มากนัก และพยายามที่จะเปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่น แต่ก็พ่ายแพ้ไป จนต้องยอมใช้ชื่อนี้ โดยที่มาของชื่อนี้ก็เนื่องมาจากตัวของ Dag ได้ร่วมงานกับผู้หญิงชาวนอร์เวย์คนหนึ่งที่ชื่อว่า Siri โดยชื่อนี้มีความหมายในภาษานอร์เวย์หมายถึงหญิงรูปงามที่นำชัยชนะและความสำเร็จเข้ามา ประกอบกับชื่อว่า Siri นั้นค่อนข้างออกเสียงได้ง่าย จึงทำให้น่าจะติดหูผู้ใช้ทั่วไปได้ง่าย โดยก่อนที่ Apple จะเข้าซื้อบริษัทผู้สร้าง Siri ตัว Steve Jobs ได้เรียก Dag Kittlaus เข้าไปพบอย่างเร่งด่วน เนื่องจากเกิดถูกใจในตัวระบบของ Siri ที่ตอนแรกมาเป็นแอพฟรีบน App Store มาก และหลังจากพูดคุยกันกว่า 3 ชั่วโมง จึงได้นำมาสู่ข้อเสนอมูลค่าสูงถึง  200 ล้าน USD และมาเกิดเป็นระบบ Siri บน iPhone 4S อย่างในปัจจุบันนี่เอง

จากเท่าที่ผ่านๆมา ถ้าใครได้เคยลองใช้ทั้ง iPad และบรรดาแท็บเล็ต Android จะเห็นได้ชัดในเรื่องของแอพว่ามีความแตกต่างกัน เช่นความสวยงามของแอพบน iPad ที่มักจะมีการจัดหน้าตาที่สวยงามกว่าบน Android ซึ่งทาง PC Magazine ก็ได้ให้ความเห็นในประเด็นนี้ว่าน่าจะเป็นจุดแข็งที่ทำให้ iPad ยังคงนำหน้าแท็บเล็ต Android อยู่ ดังจะเห็นได้จากแอพ CNN ที่เมื่อพอร์ตมาลงใน Android แล้ว หน้าตายังดูไม่พอดีกับหน้าจอซักเท่าไร ซึ่งสาเหตุหลักๆที่ทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถสร้างแอพให้มีขนาดและหน้าตาที่เหมาะสมกับแท็บเล็ต Android ได้อย่างสมบูรณ์นั้นก็เนื่องมาจากการที่ต้องทำแอพให้รองรับแทบทุกความละเอียดหน้าจอที่แตกต่างกัน จึงเป็นการยากที่จะสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์กับทุกๆเครื่อง ต่างจาก iOS ที่มีอุปกรณ์อยู่แค่ไม่กี่ขนาดความละเอียดหน้าจอ จึงมีปัญหาในเรื่องนี้น้อยกว่า ประกอบกับนักพัฒนายินดีที่จะไปปรับแก้แอพในฝั่ง iOS มากกว่าด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของ Google ที่จะลดปัญหา Fragmentation นี้ลงให้ได้มากที่สุดละนะ แถมปีนี้แว่วๆมาด้วยว่าจะมีแท็บเล็ต Android เข้าสู่ตลาดมากกว่าที่ผ่านๆมา ก็ไม่รู้ว่าปัญหาจะยิ่งหนักกว่าเ

หลังจาก The New iPad วางขายไปได้ไม่นาน ก็มีผู้พบปัญหาเกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่ว่าตัวเครื่องยังคงชาร์จแบตต่อไปแม้กระทั่งแบตจะชาร์จจนเต็มแล้ว จนทำให้ดูเหมือนว่าไม่สามารถชาร์จแบตได้เต็มซักที ซึ่งอาจจะส่งผลต่อแบตในระยะยาวได้ ซึ่งเรื่องนี้ Apple ก็ได้ออกมาเปิดเผยแล้วว่าการชาร์จแบตต่อเนื่องนั้น ไม่ได้ทำให้ตัวแบตเสื่อมเร็วขึ้นแต่อย่างใด เพราะเมื่อแบตชาร์จไปจนถึง 100% แล้ว ตัวแบตจะคายประจุไฟออกเล็กน้อย แล้วทำการชาร์จเข้าไปใหม่ให้เต็ม 100% เช่นเดิม ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่บรรดาอุปกรณ์ iOS รุ่นที่ผ่านๆมาของ Apple อยู่แล้ว ไม่ว่าจะ iPad, iPhone หรือ iPod Touch โดย Michael Tchao รองประธานของ Apple ได้ออกมาเปิดเผยกับ AllThingsD ว่าด้วยกลไกการชาร์จแบตเช่นนี้ ช่วยทำให้ผู้ใช้สามารถเสียบอุปกรณ์เข้ากับที่ชาร์จได้ตลอดเวลา ซึ่งฟีเจอร์นี้จะพบได้เฉพาะบนอุปกรณ์ iOS เท่านั้น ไม่ต้องเป็นห่วงจ้า

ขณะนี้ผู้ให้บริการโทรศัพท์ทุกราย คือ AIS, dtac เเละ truemove H นั้นได้ยืนยันเเล้วว่า กสทช ได้อนุมัติการนำเข้า The new iPad เเล้วเมื่อวันที่ 19 มีนาคม ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่าง กสทช ดำเนินการอนุมัติเนื่องจากอุปกรณ์นั้นใช้เครือข่าย 4G จึงจำเป็นต้องผ่านกระบวนการตามขั้นตอนเสียก่อน ส่วนกระบวนการอนุมัตินั้นคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 20-30 วัน ส่วนจำนวนเครื่อง ราคา นั้น Apple จะเป็นผู้กำหนดราคาทั้งหมด ซึ่งปกติจะวางจำหน่ายภายใน 1 สัปดาห์หลังจาก Apple เเจ้งให้ขึ้นหน้า Coming Soon โดยทางผู้ให้บริการคาดว่าจะวางจำหน่ายได้หลังเทศกาลสงกรานต์นี้เป็นต้นไป เมื่อนีบช่วงเวลาพิจารณาเเล้วก็น่าจะอยู่ช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ ส่วนราคานั้นคิดว่าน่าจะเท่ากับรุ่นเก่าที่ออกมาก่อนหน้านี้ตามต่างประเทศ ซึ่งก็เริ่มต้นที่ 15,900 บาท

เนื่องด้วย the new iPad นั้นมาพร้อมกับชิปประมวลผล A5X ที่ได้รับการปรับปรุง GPU ภายในใหม่ให้เป็นแบบ quad-core ซึ่งก็แน่นอนที่ความร้อนในการทำงานจะต้องสูงขึ้นกว่า iPad 2 แต่เท่าที่ผ่านมาก็เป็นเพียงแค่สมมติฐานเท่านั้น เพราะยังไม่มีการทดสอบอย่างจริงจังนัก แต่ก็มีคนจับมาทดลองจนได้ครับ โดยการทดลองจะเป็นการเทียบกันระหว่าง the new iPad กับ iPad 2 ที่จับอุณหภูมิหลังจากรันแอพ GLBenchmark ไปได้ 5 นาที ส่วนการจับอุณหภฺมินั้นก็ใช้กล้องอินฟราเรดในการถ่ายภาพและบันทึกอุณหภูมิ ผลปรากฏออกมาก็คือ iPad 2 มีอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 28.3 องศาเซลเซียส the new iPad มีอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 33.6 องศาเซลเซียส ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมายนักละนะครับ แรงกว่า บอดี้ใกล้เคียงของเดิม ความร้อนก็ต้องมากกว่าเป็นเรื่องปกติละนะ

ในงาน Commart Thailand 2012 ที่จะจัดในวันที่ 22-25 ที่จะถึงนี้ทาง iStudio by comseven ได้ลดราคาสินค้า Apple หลายตัวไม่ว่าจะเป็น Macbook, Macbook Pro, Macbook Air, iMac, Apple Cinema Display มาลดราคาอีกด้วย เเต่ที่น่าสนใจคือมี iPad 1 มาขายในราคาที่ถูกทีเดียว โดยมีทั้งรุ่น Wi-Fi เเละ Wi-Fi+3G ซึ่งมีราคาดังนี้ครับ iPad Wi-Fi+3G 16GB ราคา 8,000 บาท iPad Wi-Fi+3G 32GB ราคา 9,500 บาท iPad Wi-Fi+3G 64GB ราคา 10,900 บาท iPad Wi-Fi 16GB ราคา 5,000 บาท เรียกว่าใครอยากได้ iPad ราคาถูกก็ไปพบกันที่งานคอมมาร์ท ที่บูท iStudio by comseven

ในงานเปิดตัว the new iPad ที่ผ่านมา มีไฮไลท์เด็ดนอกเหนือจากตัว iPad แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายคนจำได้ก็คือ Apple ประกาศว่าชิป A5X ของ the new iPad นั้น มีประสิทธิภาพด้านกราฟิกแรงกว่า NVIDIA Tegra 3 ที่เป็นชิป quad-core ถึง 4 เท่า ทั้งๆที่ A5X มีคอร์ในการประมวลผลแค่ 2 คอร์เท่านั้น จึงทำให้หลายคนสงสัยว่ามันจะแรงกว่าจริงหรือเปล่า และก็มีผู้ทดสอบมาให้เห็นเช่นกันครับ โดยการใช้แอพในการ benchmark ซึ่งก็แน่นอนว่าคคงต้องเป็นแอพที่มีทั้งฝั่ง iOS และ Android ตัวแรกคือ GLBenchmark 2.1 ที่วัดเรื่องของประสิทธิภาพ GPU และมีความใกล้เคียงกับการรันเกมอยู่พอสมควร ผลออกมาดังนี้ (ยิ่งคะแนนสูง ยิ่งดี) แม้ A5X จะได้คะแนนสูงกว่า แต่ภาพที่แสดงผลออกมา ASUS Eee Pad Transformer Prime ที่ใช้ NVIDIA Tegra 3 กลับมี effect แสดงออกมามากกว่า ซึ่งบางส่วนไม่แสดงใน iPad ที่เห็นได้ชัดก็เช่นแสงสะท้อนจากน้ำ ส่วนบน iPad มี effect ยิบย่อยออกมาน้อยมาก แต่ประเด็นหนึ่งก็เป็นไปได้ว่าตัวแอพมันอาจจะยังไม่รองรับ A5X เต็มที่นัก ซึ่งในส่วนนี้ ก็ถือว่าจริงอย่างที่ Apple เคยออกมากล่าวไว้ว่า A5X ของตนสามารถประมวลผลกราฟิกได้ดีกว

หลังจาก the new iPad วางขายครั้งแรกไปได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก็มีข่าวออกมาว่ามันถูก jailbreak ได้เรียบร้อยแล้ว โดยแฮกเกอร์ที่ใช้นามแฝงว่า i0n1c ซึ่งสามารถ jailbreak แบบ untethered (แบบ untethered คือเมื่อ jailbreak แล้ว สามารถ restart เครื่องใหม่ได้โดยไม่ต้องต่อกับคอมเพื่อ jailbreak อีกครั้งให้เครื่องเปิดใช้งานได้) ซึ่งตัวของ i0n1c นั้นก็ใช่ว่าจะโนเนมนะครับ เพราะเค้าเคยอยู่ในกลุ่มของผู้สร้าง limelight ทูลที่ใช้ jailbreak iOS 4.3.3 มาแล้วเหมือนกัน แต่ทั้งนี้ตัวทูลสำหรับ untethered jailbreak ยังไม่ได้การปล่อยออกมา คาดว่าตัวของ i0n1c คงต้องการจะทำให้สมบูรณ์เสียก่อน แต่ดูท่าทางแล้ว คงอีกไม่นานนี้ละครับ มายั่วกันด้วยคลิปด้านล่างนี้ก่อนแล้วกัน 

iSupply บริษัทวิจัยเเละให้คำเเนะนำเกี่ยวกับ Value Chain ได้ประเมินต้นทุน (วัสดุเเละค่าเเรงประกอบ) ของ The new iPad ว่ามีต้นทุนที่สูงกว่าเดิม เเต่ Apple ก็ยังสามารถที่จะจำหน่าย The new iPad ในราคาเดิมได้ โดย The new iPad นั้นมีต้นทุนเริ่มต้นที่ 316 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 9,480 บาท เเต่ถ้าเป็นรุ่น Wi-Fi + 4G นั้นราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 10,740 บาท โดยในตารางมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้ครับ ค่าเเรงในการประกอบ The new iPad อยู่เพียงเเค่ 10 ดอลลาร์สหรัฐหรือประมาณ 300 บาท ต้นทุนของ The new iPad เฉลี่ยเเล้วสูงกว่าเดิมประมาณ 10% หน้าจอของ The new iPad สูงกว่าเดิม 30 ดอลลาร์หรัฐ (ประมาณ 900 บาท) ต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 2,600 บาทซึ่งเเพงที่สุดจากชิ้นส่วนทั้งหมด ต้นทุนตัวประมวลผล Apple A5X เเพงกว่าเดิม 9 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 270 บาท) ต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 690 บาท โมดูลกล้อง 5 ล้านพิกเซล เเพงกว่าเดิม 8 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 240 บาท) ต้นทุนอยู่ที่ 360 บาท โมดูล 4G เเพงกว่า 3G เดิม 16 ดอลลาร์สหรัฐ (480 บาท) ต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท เเบตเตอรี่ความจุเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า เเต่ต้นทุนเพิ่มมา 10

เปิดตัวกันไปแล้วกับแท็บเล็ตรุ่นที่ 3 ของ แบรนด์ดังอย่าง Apple หนึ่งในฟีเจอร์ที่เป็นที่สนใจของใครต่างๆมากมายนั่นก็คือพาเนลหน้าจอตัวใหม่ หรือที่เรียกว่า Retina Display นั่นเอง เป็นหน้าจอที่มีหนาแน่นของเม็ดพิกเซลเทียบกับต่อตารางนิ้วแล้วละเอียดมาก เท่ากับว่าแต่ละเม็ดนั้นเล็กยิ่งกว่าเดิม จนยากที่ตาคนเราจะเพ่งมองให้เห็นได้ ทำให้ความละเอียดโดยรวมของจอนั้นเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่ขนาดของมันนั้น ยังเป็นเท่าเก่า แอ็พต่างๆที่ทำมาให้กับ iPad 2 นั้น ยังคงดูโอเคใน iPad ตัวใหม่นี้ แต่เฉพาะกับแอ็พตัวใหม่ที่ทำออกมาให้สำหรับจอแบบ Retina นี้เท่านั้น ที่จะโชว์ให้เห็นได้ว่า มันละเอียดเนียนตาขนาดไหน แต่ไม่ใช่เฉพาะกับแอ็พเท่านั้น กราฟฟิกบนหน้าเว็บไซต์ทั้งหลาย ต่างก็ต้องผลที่ว่านี้ ต้องกลับไปอัพเดทหน้าเว็บตัวเองกันเป็นทิวแถว   มีโค้ด JavaScript ที่ทำโดย Appleinsider ที่จะเปลี่ยนรูปภาพกราฟฟิกบนเว็บของ Apple จากเวอร์ชั่นปกติสำหรับหน้าจอทั่วๆไป ให้กลายเป็นภาพกราฟฟิกสำหรับหน้าจอ Retina Display แทน ซึ่งจะแสดงให้เห็นถึงความคมชัด เนียนตา ในแบบประสบการณ์ใหม่จากเจ้าจอตัวนี้ทีเดียว ถ้าเข้าไปดูที่หน้า homepage

ในที่สุดก็เริ่มวางจำหน่ายกันไปแล้ว สำหรับ iPad รุ่นล่าสุดที่มีการพัฒนาเรื่องจอมาใช้ถึงระดับ Retina Display จนทำให้หลายคนสงสัยว่ามันจะคมชัดมากกว่าเดิมขนาดไหน ซึ่งตามสื่อต่างประเทศนั้นต่างก็ได้ซื้อตัว iPad รุ่นใหม่ไปทดสอบกันหลายรายแล้ว และก็แน่นอนว่าจะต้องมีการพิสูจน์เกิดขี้นตามธรรมเนียม ประเด็นที่มีการทดสอบก็คือการส่องดูเม็ดพิกเซลของจอภาพ โดยใช้กล้องซูมไปถึงระดับ subpixel กันเลยทีเดียว อีกทั้งยังจับเทียบกับ iPad 2 ให้เห็นกันชัดๆเลยด้วย เอาเป็นว่าไปชมกันเลยครับ ก็จะเห็นได้ชัดว่าเม็ดพิกเซลของ new iPad มีจำนวนมากกว่าและละเอียดกว่า iPad 2 มาก ทำให้สามารถแสดงภาพได้ความละเอียดสูงกว่า สีสันครบถ้วนกว่านั่นเอง เห็นแล้วก็อยากลองเล่นตัวจริงดูนะ อยากรู้ว่ามันจะสวยขนาดไหน

เเน่นอนว่าเมื่อสินค้า Apple เปิดตัวมาเมื่อไรเเหล่งที่จะมีสินค้าวางจำหน่ายหลังจากนั้นต่อมาก็คือมาบุญครอง เเหล่งซื้อขายมือถือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยนั่นเอง ซึ่งทาง AOBmobile ก็ได้นำ The new iPad มาขายกันเเล้วในราคาที่เเพงกว่าปกติ เพราะว่าของนั้นยังคงหายากมากนั่นเองเนื่องจากขนาดสั่งที่เว็บ Apple เเล้วยังคงต้องรอเป็นเวลาหลายอาทิตย์ถึงจะได้ของมา โดยราคา The new iPad เครื่องหิ้วของร้าน AOBmobile ที่ MBK มีดังนี้ครับ The new iPad 16GB Wi-Fi ราคา 17,900 บาท The new iPad 32GB Wi-Fi ราคา 21,900 บาท The new iPad 64GB Wi-Fi ราคา 25,900 บาท The new iPad 32GB 4G+Wi-Fi ราคา 32,900 บาท The new iPad 64GB 4G+Wi-Fi ราคา 37,900 บาท โดย The new iPad รุ่น Wi-Fi นั้นมีราคาเพิ่มประมาณ 2,000 – 4,000 บาทเเล้วเเต่ความจุ ในขณะที่โมเดล 4G+Wi-Fi นั้นมีราคาเพิ่มไปจากปกติคือ 10,000 – 12,000 บาท ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะของยังคงหาซื้อยากอยู่ (อารมณ์คล้ายๆ Xperia S) ดังนั้นถ้าใครอยากได้ราคาในปกติคงต้องรออีกประมาณเดือนสองเดือน เเต่ถ้าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเเละอยากได้มาเล่นก่อนใครเเล้วก็ไปซื้อได้ที่มาบุญครองเลยคร

ผลการทดสอบประสิทธิภาพหรือ benchmark กับ iPad ตัวใหม่ เป็นที่แน่นอนคอนเฟิร์มแล้วว่า iPad ตัวที่ 3 จาก Apple นี้ เป็นเครื่องระบบ iOS ตัวแรกที่มีแรมมาให้ถึง 1GB ใหญ่กว่าเดิมเป็น 2 เท่าจากรุ่นก่อนหน้าอย่าง iPad 2 แต่กับชิปประมวลผล A5X ตัวใหม่ นั้นมีความเร็วเท่าเดิมกับชิปตัวเก่า A5 นักเจาะระบบ iOS นาม Sonny Dickson ได้โพสท์ข้อความผ่าน Twitter ของเค้าเอาไว้ว่า “เยี่ยมยอด! iPad ตัวใหม่มีแรม 1GB!” และยังตามมาด้วยรูปภาพ screenshot ที่ถ่ายจากแอ็พ Geekbench2 เพื่อเป็นการยืนยันถึงข้อมูลดังกล่าว  iPad ตัวใหมานี้ทำคะแนนในแอ็พ Geekbench ไปได้ 756 คะแนน ตามรูปที่นาย Dickson คนนี้โชว์ให้ดู ซึ่งดีขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้าเล็กน้อยที่ทำได้ที่ 751 คะแนน และถ้าเอาไปเทียบกับ iPad ตัวแรกเลยที่ได้อยู่ที่ 618 คะแนน ก็แน่นอนว่าห่างกันหลายขุม ซึ่งสาเหตุที่มันทำคะแนนได้ไม่หนีห่างจาก iPad 2 สักเท่าไหร่ ก็คงด้วยเรื่องของความเร็ว CPU ที่ยังเท่าเดิมกับชิป A5 ตัวเก่านั่นเอง จะเห็นมีก็แต่ประสิทธิภาพด้านกราฟฟิก ที่่จัดหนัก จัดเต็ม!

ก็กลับมาเป็นกระแสอีกครั้งจนได้ สำหรับข่าวลือที่ว่า Apple จะส่ง iPad ขนาดเล็กลงสู้ในตลาดแท็บเล็ตราคาไม่แพง โดยล่าสุดมีข่าวลือออกมาว่าตัว iPad ที่มีขนาดจอเพียง 7.85 นิ้วกำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบอยู่ ซึ่งจอนั้นเป็นจอที่ผลิตมาจาก LG และ AU Optronics แต่เนื่องด้วยราคาที่ไม่สูง จึงทำให้จอของเครื่องมีความละเอียดไม่ถึงระดับ Retina Display โดยตัวของ iPad mini จะมาพร้อมกับราคาช่วง $249 – $299 (7,700 – 9,300 บาท) ซึ่งแน่นอนว่าถ้าออกสู่ท้องตลาดจริง มันจะมาเป็นคู่แข่งของ Amazon Kindle Fire ที่มีราคาถูกและกำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้

หลังงานเปิดตัว new iPad ไปเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ได้มีการเปิดตัว iPhoto สำหรับ iPad ด้วย ซึ่งเชื่อได้ว่าน่าจะมีผู้ใช้ iPad หลายๆคน อยากได้ iPhoto มาใช้งานแน่ๆ เนื่องด้วยความสามารถในการจัดการและตกแต่งรูปที่มีมาในตัว แถมราคายังไม่ถือว่าแพงมากอีกต่างหาก แต่กับผู้ที่ใช้งาน iPad รุ่นแรกอาจจะเจ็บช้ำใจเล็กน้อย เนื่องจากไม่สามารถติดตั้งทั้ง iPhoto และ iMovie ได้ เนื่องจากตัว iPad รุ่นแรกนั้นไม่มีกล้องถ่ายรูปในตัวนั่นเอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีหนทาง เพราะมีวิธีในการติดตั้ง iPhoto และ iMovie ลงบน iPad รุ่นแรกได้ แต่อาจต้องใช้กำลังกันเล็กน้อยพอเป็นพิธี นั่นคือใช้โปรแกรม  iPhone Configuration Utility  ของทาง Apple เอง วิธีการติดตั้งก็มีดังนี้ ซื้อแอพ iPhoto หรือแอพที่ต้องการลงมาไว้ในคอมก่อน ต่อ iPad เข้ากับคอมพิวเตอร์ เปิดโปรแกรม iPhone Configuration Utility แล้ว add ไฟล์ .ipa ในโฟลเดอร์ Mobile Apllication เข้ามาในโปรแกรม (C:\Users\xxxx\Music\iTunes\iTunes Media\Mobile Applications ) จัดการติดตั้งแอพ นอกจากจะใช้ในการติดตั้งแอพได้แล้ว ยังใช้ปรับแต่งระบบได้อีกนิดหน่อยด้วย แถม iPad ที่จะนำมาใ

หลังจากมีงานเปิดตัว iPad ไปเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมา ทำให้มีความชัดเจนออกมาซะทีว่ามันมาพร้อมกับชิปประมวลผล A5X ที่แรงขึ้นกว่า A5 ตัวเก่า โดยเฉพาะในด้านกราฟิก ทำให้หลายคนคาดว่ามันอาจจะมาใน iPhone รุ่นหน้าก็เป็นได้ เนื่องด้วยช่วงที่ผ่านมา จะเห็นแนวโน้มการเลือกใช้ชิปประมวลผลของ Apple เป็นดังนี้ A4 บน iPad มาก่อน จากนั้นจึงจับ A4 มาลงใน iPhone 4 A5 มาบน iPad 2 ก่อน จากนั้นจึงจับ A5 มาลงใน iPhone 4S ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่า Apple อาจจะนำชิป A5X ไปใส่ไว้ใน iPhone รุ่นถัดไปที่น่าจะเปิดตัวในปีนี้ก็เป็นได้ แต่ก็มีอีกกระแสหนึ่งออกมาให้ความเห็นว่า Apple คงจะไม่นำ A5X ไปใส่ใน iPhone แน่ๆ โดยสาเหตุหลักๆ ก็คือเรื่องอัตราการใช้พลังงานที่ถือว่าสูงเกินไปถ้าไปอยู่ในมือถือ รวมไปถึงพลังประมวลผลกราฟิกของ A5X ที่สูงเกินไปสำหรับ iPhone เพราะจอก็ไม่ได้มีความละเอียดสูงมาก จึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังประมวลผลกราฟิกที่สูงมากนักก็ได้ จึงมีความเป็นไปได้ที่ Apple น่าจะไปทุ่มผลิตชิปใหม่จะดีกว่า ซึ่งถ้าเป็นจริงก็คงหนีไม่พ้นชื่อว่า A6 แน่นอน

ในงานเปิดตัว New iPad กับ Apple TV ที่ผ่านมา ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่า Apple จัดการแต่งแต้มสีรุ้งลงในโลโก้ด้วย จึงทำให้เกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่าต่อไป Apple ตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงสีในโลโก้อีกครั้งหนึ่งหรือไม่ ซึ่งถ้าจริงก็จะถือว่าเป็นการกลับมาใช้โทนสีรุ้งเป็นครั้งที่ 2 หลังจากที่เคยใช้ไปแล้วในช่วงปี 1976 – 1998 จากนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้แบบในปัจจุบันหลังจากที่ Steve Jobs ผู้ก่อตั้งบริษัทหวนกลับมาทำงานอีกครั้ง ซึ่งสีรุ้งในโลโก้นี้ ถ้าดูเอาจริงๆ จะมีลักษณะคล้ายกับสีโลโก้ของ Windows และลวดลายที่คล้ายกับโลโก้รูปผีเสื้อของ MSN ในอดีตอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร เพราะทาง Microsoft ได้จัดการเปลี่ยนโลโก้ของ MSN เป็นแบบอื่นไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นก็พอจะมาความเป็นไปได้อยู่ว่า Apple อาจจะเปลี่ยนมาใช้โลโก้ที่ใช้สีรุ้งอยู่ภายใน เพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนว่า Apple เข้ามาสู่ยุคใหม่แล้ว ยุคของ Tim Cook, ยุคที่ไม่มี Steve Jobs อีกต่อไป

ช่วงนี้กระแส iPad มันแรงจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุดในวงการแท็บเล็ตไปเลยก็ได้ แต่ดูเหมือนทาง Apple จะข้ามช็อตนี้ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะทาง ARS Technica ได้ออกมาเปิดเผยว่าทางเว็บได้ทำการตรวจสอบ log เก็บข้อมูลของเว็บตน แล้วพบว่ามีกว่า 346 ครั้งที่การเรียกเข้าชมหน้าเว็บมาจาก iPad ที่มีหน้าจอความละเอียด 2048 x 1536 จึงทำให้ข่าวที่ว่า iPad 3 จะมาพร้อมจอระดับ Retina Display เป็นไปได้สูงมาก และอาจจะเปลี่ยนไปใช้ชื่อว่า iPad HD แทนก็เป็นได้ นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่น่าสนใจ ก็คือใน log นั้น มีบางส่วนที่การเยี่ยมชมเว็บไซต์นั้นมาจาก iPad ที่รันด้วย  iOS 6  ซึ่งมาพร้อมกับเอนจินตัวใหม่อย่าง AppleWebkit 535.8 สำหรับ Safari ทำให้เห็นได้ว่าในขณะนี้บางส่วนของทีมพัฒนาของ Apple ได้แบ่งส่วนไปทำ iOS 6 มาได้ระยะหนึ่งแล้ว โดยในขณะนี้มีการคาดการณ์กันว่า iOS 6 อาจจะออกมาพร้อมกับ iPhone รุ่นใหม่ในช่วงค่อนๆปลายปีก็เป็นได้ ส่วน iPad รุ่นใหม่นี้ คาดว่าน่าจะมาพร้อมกับ iOS 5.1 ครับ

นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้เเทนราษฎร ได้กล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการซื้อ iPhone เเละ iPad จำนวน 700 เครื่อง มูลค่า 50 ล้านบาท โดยฝ่ายบริหารได้เห็นชอบเเละมอบหมายให้ฝ่ายข้าราชการได้ดำเนินการจัดซื้อ ส่วนสมาชิกคนไหนไม่อยากรับเครื่องดังกล่าวก็เป็นสิทธิ์ที่จะไม่รับได้ เเต่เชื่อว่ามีสมาชิกส่วนใหญ่ต้องการใช้ iPhone เเละ iPad อยู่เเล้ว โดยที่เลือก iPhone เเละ iPad เพราะว่าต้องการซื้อเครื่องที่สเปคที่ดีสุดให้กับ ส.ส. เเละ ส.ว ทุกคน ส่วนโครงการของรัฐบาลก่อนหน้าคือเเท็บเล็ตเพื่อการศึกษานั้นทางกระทรวงได้เลือกใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Android โดยใช่งบประมาณจำนวน 1,794 ล้านสำหรับเเท็บเล็ต 860,000 เครื่อง โดยกำหนดไว้ว่าจะให้เด็ก ป.1 ได้ใช้ภายในต้นปีการศึกษา 2555 ในเดือนพฤษภาคมนี้ ตามรายละเอียดที่เคยเขียนมาเเล้ว ( 1 ,  2 ) *อัพเดทคุณ Noppatjak Attanon ได้โทรไปสอบถามโครงการดังกล่างจากนายเจริญ จรรย์โกมล เเละได้ข้อมูลมาว่า งบประมาณ 50 ล้านทั้งหมดจะรวมกับ “คอมพิวเตอร์ระบบสัมผัส” เเละ “ระบบการจัดเก็บช้อมูล” โดยยังไม่มีการกำหนดรายละเอียดว่าจะเป็นจ้องเป็น “iPad” หรือไม่ โดยจุดประสงค์ของโครงการ

จากกระแสข่าวลือว่า iPad 3 หรือที่ลือจะใช้ชื่อว่า iPad HD นั้น จะมาพร้อมกับจอความละเอียดระดับ 2048 x 1536 หรือที่เรียกง่ายๆว่าละเอียดถึงระดับ Retina Display (ตาเปล่าไม่สามารถมองเห็นเม็ดพิกเซลได้) หลายคนก็คงสงสัยว่ามันจะละเอียดขนาดไหน ล่าสุดได้มีนักพัฒนาแอพรายหนึ่งทดลองสร้างแอพที่รันบนความละเอียดระดับ 2048 x 1536 ขึ้นมา แล้วเซฟ screenshot มาให้เราได้ดูกัน ดังด้านล่างนี้ ในภาพเป็นภาพในเกม Food Run ที่เขาสร้างขึ้นมา และเมื่อขยายบางส่วนของภาพขึ้นมาดูก็จะได้ดังนี้ ภาพซ้าย  : ภาพจากจอความละเอียด 1024 x 768 ของ iPad ตัวปัจจุบัน (สามารถดูภาพขนาดเต็มของแต่ละภาพได้จากในลิ้งค์ในคำว่าภาพซ้ายนะครับ และในภาพขวาก็เช่นกัน) ภาพขวา  : ภาพจากจอความละเอียด 2048 x 1536 ที่คาดว่าจะอยู่ใน iPad 3 ( iPad HD ) ซึ่งทางผู้พัฒนาแอพนี้อย่าง Kevin ได้ให้ความเห็นเรื่องของการพัฒนาแอพด้วยว่า ถ้า iPad 3 ใช้จอความละเอียดสูงถึงระดับนี้จริงๆ แน่นอนว่าในการรันเกมจะต้องใช้ทรัพยากรเครื่องที่สูงกว่านี้มาก อีกทั้งยังเป็นการยากต่อผู้สร้างแอพด้วย เพราะปัจจุบัน Apple อนุญาตให้เครื่องที่ต่อผ่านเครือข่าย 3G ดาวน์โหลด

ในที่สุดก็ถึงวันประกาศเปิดตัวของ iPad 3 ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “The new iPad” ซึ่งอาจจะไม่คุ้นหูกันสักหน่อย ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าอีกหน่อยเราจะไม่ได้เห็นชื่อรุ่นของ iPad หรือ iPhone ตามเเบบ Macbook หรือ iMac กันเเล้ว โดยอาจจะเรียกเป็นปีหรือ gen นั้นๆ เเทน ซึ่งเมื่อสรุปกับข่าวลือที่มีมาก็ถือว่าตรงค่อนข้างมากทีเดียว เอาเป็นว่ามาดูสเปตของ The new iPad อย่างเป็นทางการเลยครับ บาง 9.4 มิลลิเมตร หนัก 652 กรัมสำหรับรุ่น Wi-Fi เเละ 662 กรัมสำหรับรุ่น Wi-Fi + 4G จำหน่าย 3 ความจุ 16 / 32 / 64 GB เเละมีสองสีคือขาวกับดำ หน้าจอ Retina 9.7 นิ้วใช้พาเนลเเบบ IPS ความละเอียด 2048 x 1536 พิกเซล กันรอยนิ้วมือเเละรอยขีดข่วน ตัวประมวลผล Apple A5x สนับสนุน 4G LTE กล้องหลัง 5 ล้านพิกเซล กล้องหน้าความละเอียด VGA บันทึกวีดีโอความละเอียด 1080p ได้ เเบตเตอรี่ 42.5 watt-hours ใช้ micro sim สำหรับรุ่น 4G สิ่งใหม่ที่น่าสนใจของ The new iPad Retina Display เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหน้าจอจาก Apple ที่เคยถูกใช้ครั้งเเรกใน iPhone 4 ในสมัยก่อนที่ใข้หน้าจอความละเอียด 960 x 540 บนหน้าจอขนาดเล็กเพียง 3.5

หลังจากที่ Apple ได้ทำการเปิดตัว The new iPad หรือที่เราคุ้นกันในชื่อ iPad 3 กันไปเเล้ว ซึ่งราคานั้นก็ถือว่า The new iPad นั้นเป็นราคาของ iPad 2 เก่านั่นเอง เเต่ที่น่าสนใจคือ iPad นั้นเริ่มทำการลดราคารุ่นเก่าออกมาเหมือนกับ iPhone ที่เคยทำมา ครั้งนี้นั้น iPad 2 ได้ถูกลดราคาลง 100 ดอลลาร์สหรัฐลงทั้งเเบบ Wi-Fi, Wi-Fi + 3G ทำให้ราคาของ iPad 2 เเบบ Wi-Fi นั้นเริ่มต้นเพียงประมาณ 12,000 บาทเท่านั้น เเละ iPad 2 Wi-Fi+3G อยู่ที่ประมาณ 16,000 บาท ซึ่งทาง Apple Store ของประเทศไทยก็ได้มีการปรับลดราคาที่หน้าเว็บลงเเล้วครับ โดย iPad 2 ลดราคาจากเดิมลง 2,400 บาท จึงเหลือราคาเริ่มต้นที่ 13,500 บาทเท่านั้น ก็เรียกว่าเป็นการปรับราคาพร้อมกันทั่วโลกเพื่อรอ iPad 3 นั่นเอง เเต่ iPad 3 จะมาขายไทยเป็นทางการเมื่อไหร่ก็ต้องรออีกทีครับ ล่าสุดนี้ทาง istudio ก็ได้ออกมาประกาศลดราคาเเล้ว ราคาเท่า Apple Store ประเทศไทย ใครอยากซื้อก็ไปจัดได้จ้า

เป็นข่าวที่ Apple ปล่อยออกมาก่อนจะปิด App Store เพื่อรอเปิดตัว iPad รุ่นใหม่เลยทีเดียว อันเนื่องมาจากก่อนหน้านี้เพิ่งจะมียอดการดาวน์โหลดแอพจาก App Store ครบ 25,000 ล้านครั้งไปได้ไม่นาน ทาง Apple ก็เลยจับเลข 25 มาเป็นประเด็น แล้วสรรหาแอพยอดนิยม 25 อันดับแรกที่ได้รับความนิยมตลอดกาล โดยแบ่งเป็นฝั่งแอพฟรี และแอพเสียเงิน ของทั้ง iPhone และ iPad เอาเป็นว่าไปดูกันเลยว่า 25 อันดับของแต่ละฝั่งกันเลยครับ (เรียงตามลำดับลงไปนะ) Top Free iPhone Top Paid iPhone Top Free iPad Top Paid iPad Facebook Angry Birds Angry Birds HD Free Pages Pandora Radio Fruit Ninja The Weather Channel for iPad Angry Birds HD Words With Friends Free Doodle Jump Netflix Angry Birds Seasons HD Skype Cut The Rope Skype for iPad Penultimate The Weather Channel Angry Birds Seasons Kindle Scrabble for iPad Google Search Words With Friends ABC Player Fruit Ninja HD Google Earth Tiny Wings Pandora Radio GarageBand Angry Birds Free Angry Birds Rio Angry Birds Rio HD Free GoodReader Shazam Pocket God CNN App f

อีกประมาณ 1 สัปดาห์ก็จะถึงเวลาของการเปิดตัว iPad รุ่นใหม่แล้ว ทำให้ช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงแห่งการกระพือข่าว iPad 3 อย่างหนักเลยทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องของความละเอียดจอที่มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนไปใช้ความละเอียดระดับ Retina Display เพียงแต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าความละเอียดจะสูงขนาดไหน ซึ่งในตอนนี้ก็มีมาอีกกระแสแล้วครับ นั่นคือ 2560 x 1600 กันเลยทีเดียว โดยที่มานั้นก็มาจาก Dustin Curtis ที่จัดได้ว่าเป็นเซเล็บคนหนึ่งในโลกออนไลน์เหมือนกัน เนื่องด้วยเขาได้แนบภาพที่ capture มาจากตัวเก็บสถิติผู้เข้าชมบล็อกของเขาอย่าง Google Analytic และดันไปเจอว่ามี iPad ที่ใช้จอความละเอียด 2560 x 1600 เข้าให้ เลยกลายเป็นข่าวนี้ขึ้นมานั่นเอง ซึ่งถ้า iPad 3 มาด้วยจอความละเอียดสูงขนาดนั้นจริงๆ ก็จะเป็นการปฏิวัติ iPad ไปเลย เพราะ iPad ทั้ง 2 รุ่นที่ผ่านมา ต่างใช้จอความละเอียด 1024 x 768 ที่มีอัตราส่วนจอเป็น 4 : 3 แต่ถ้าความละเอียดใหม่เป็น 2560 x 1600 จริง อัตราส่วนจอก็จะกลายเป็น 16 : 10 ไปเลย โดยเอาจริงๆมันก็จะเรียกได้ว่าขัดกับหลักการที่ Apple เคยประกาศออกมาก่อนหน้านี้ว่าจะทำให้ผู้ออกแบบแอพสามารถสร้างแอพได้ง่าย

ยิ่งมือถือเราฉลาดมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเป็นการเปิดโอกาสให้มีช่องโหว่ในตัวมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างล่าสุดได้มีการค้นพบช่องโหว่ในชุดเอนจิน WebKit ที่อยู่ใน Web Browser บนระบบปฏิบัติการบนมือถือหลายๆตัว ไม่ว่าจะเป็น Safari บน iOS, Android Browser รวมไปถึง Browser ของ BlackBerry PlayBook ทำให้ทั้ง 3 OS มีช่องโหว่ที่อาจทำให้เครื่องอาจถูกผู้ไม่หวังดีควบคุมจากระยะไกลได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้สามารถเข้าถึงทุกส่วนในตัวเครื่องได้เลย ส่วนการติดมัลแวร์ที่ถูกออกแบบมาให้เล่นงานช่องโหว่นี้ก็ง่ายมาก เพียงแค่คลิกลิ้งค์บนหน้าเว็บจากในมือถือเท่านั้นเอง ทั้งนี้อย่าเพิ่งตื่นตระหนกกันไปนะครับ เพราะมันยังไม่มีผู้ไม่ประสงค์ร้ายรายใดเล่นงานช่องโหว่ที่ว่านี้ แต่ชาว Android ก็อย่านิ่งนอนใจไป เพราะมีรายงานมาว่าช่วงนี้มีการปล่อยมัลแวร์ออกมา โดยมันสามารถแพร่ได้ทางลิ้งค์บน Facebook ซึ่งวิธีป้องกันที่ดีที่สุดก็คือไม่ไปคลิกลิ้งค์แบบสุ่มสี่สุ่มห้าครับ ก็หวังว่าแต่ละค่ายจะมีการอัพเดตแก้ไขช่องโหว่ที่ว่านี้โดยเร็วนะ